the social network
***ก่อนอื่น ขอออกตัวไว้ก่อนเลยว่าผมไม่ใช่นักวิจารณ์หนังนะครับ แต่ก็เขียนแชร์ประสบการณ์ตามความเห็นของตัวผมเอง ดังนั้นอาจจะไม่ได้ตรงกับความเห็นของคนอื่นๆ ถ้าอ่านแล้วไม่ถูกใจข้ามไปได้เลยนะครับ
หนังเริ่มด้วยการที่ Mark Zuckerberg นั่งคุยกับ Erica Albright คุยไปคุยมาก็กลายเป็นว่าโดนสาวบอกเลิก Mark Zuckerberg อาจจะโมโหปนเจ็บใจ เลยกลับห้องมาเมา แล้วก็เขียน Blog รายงานสถานะการณ์สดที่ตนเลิกกับ Erica Albright พูดง่ายๆ ว่าเขียนด่าผู้หญิงนะ เช่นไปวิจารณ์เรื่องหน้าอกของเธอ (ตรงนี้เพื่อนสนิทเค้าชื่อ Eduardo Saverin ได้อ่าน และเป็นห่วง อ่านจบก็เลยออกเดินทางมาหา Mark Zuckerberg) หลังจาก Mark Zuckerberg เขียน Blog ระบายความรู้สึกแล้ว เพื่อนอีกคนก็เมาเข้ามาแล้วพูดให้ไอเดียกับ Mark Zuckerberg ซึ่งตรงนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการทำเว็บไซต์ Facematch และ Eduardo Saverin ก็มาถึง ซึ่ง Mark Zuckerberg ต้องการอัลกอริทึม (Algorithm) ของ Eduardo Saverin ในการประมวลผลเว็บไซต์ที่เค้าทำขึ้นมาใหม่ด้วย ผลคือเว็บไซต์ดังกระฉูดฉุดไม่อยู่ จนอินเตอร์เน็ตของมหาลัยล่ม Mark Zuckerberg ก็เลยดังในช่วงข้ามคืน (ดังเฉพาะในมหาลัยนะ) จนไปถูกใจพี่น้องคู่แฝด Cameron และ Tyler Winklevoss กับหุ้นส่วนอีกคนชื่อ Divya Narendra (คนนี้เล่นดีนะ กวนส้นดี ถ้าเล่นดีก็อาจจะเล่นเหมือนตัวจริง ไม่รู้ตัวจริงนิสัยอย่างนี้รึเปล่านะ) จากนั้นทั้ง 3 ก็เล่าแนวคิดของตัวเองให้ Mark Zuckerberg ฟัง และชวนให้มาร่วมงานด้วย Mark Zuckerberg ก็ตอบตกลง แต่ในใจไม่ได้ตกลงตามนั้น เค้านำแนวความคิดนั้นมาปรับเปลี่ยน และเพิ่มอะไรหลายๆ อย่างลงไป ซึ่งส่วนมากไอเดียก็มาจากคนรอบข้างเค้าทั้งนั้น แล้ว Mark Zuckerberg ก็ได้ชักชวนให้ Eduardo Saverin มาร่วมลงทุนด้วย โดยตกลงแบ่งกำไรกันที่ Mark Zuckerberg ขอ 70% และที่เหลือ 30% เป็นของ Eduardo Saverin ไม่นานนักเว็บไซต์ the facebook ก็เปิดให้บริการ ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาทั้งหมด Cameron และ Tyler Winklevoss กับ Divya Narendra ก็เลยฟ้อง Mark Zuckerberg แล้วเพื่อนที่ Mark Zuckerberg เอ่ยปากเองว่าสนิทที่สุดอย่าง Eduardo Saverin ก็ยังมาฟ้อง Mark Zuckerberg ด้วยอีกคน เพราะโดนตัดหางปล่อยวัด สัดส่วนหุ้นในบริษัทก็ลดลง ทั้งหมดทั้งปวงก็เพราะตัวละครอีกตัว Sean Parker (ไม่แน่ใจว่าเป็นญาติกับไอ้แมงมุม Peter Parker รึเปล่านะ) เป็นคนที่เห็นแก่ตัว และชอบฉวยโอกาสเป็นที่สุด เค้าคงเห็นโอกาสที่เพื่อนสนิทของ Mark Zuckerberg อย่าง Eduardo Saverin ไม่อยู่เข้ามาเสียบแทน และพยายามทำให้ Eduardo Saverin หมดความสำคัญ ซึ่งตัวของ Sean Parker ก็มีประวัติไม่ดีเท่าไหร่ ทั้งเรื่องธุรกิจ เรื่องส่วนตัว อย่างการมี Sex กับเด็กนักศึกษามหาลัย และยาเสพติด แต่สุดท้ายเค้าก็ยังได้ส่วนแบ่ง 7% (ตอนแรกได้ 6.47%) ซึ่งมากกว่าที่ Eduardo Saverin ได้รับในตอนหลัง (ตอนแรกได้ 34.4% ตอนหลังเหลือ 0.03%) และตอนจบ Mark Zuckerberg ก็ยังคงคิดถึง Erica Albright อยู่ เค้าค้นหาชื่อ Erica Albright ใน facebook และส่งคำขอเป็นเพื่อนไป จากนั้นก็นั่งกด F5 รีเฟรชอยู่อย่างนั้นจนจบ
หนังเริ่มด้วยการที่ Mark Zuckerberg นั่งคุยกับ Erica Albright คุยไปคุยมาก็กลายเป็นว่าโดนสาวบอกเลิก Mark Zuckerberg อาจจะโมโหปนเจ็บใจ เลยกลับห้องมาเมา แล้วก็เขียน Blog รายงานสถานะการณ์สดที่ตนเลิกกับ Erica Albright พูดง่ายๆ ว่าเขียนด่าผู้หญิงนะ เช่นไปวิจารณ์เรื่องหน้าอกของเธอ (ตรงนี้เพื่อนสนิทเค้าชื่อ Eduardo Saverin ได้อ่าน และเป็นห่วง อ่านจบก็เลยออกเดินทางมาหา Mark Zuckerberg) หลังจาก Mark Zuckerberg เขียน Blog ระบายความรู้สึกแล้ว เพื่อนอีกคนก็เมาเข้ามาแล้วพูดให้ไอเดียกับ Mark Zuckerberg ซึ่งตรงนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการทำเว็บไซต์ Facematch และ Eduardo Saverin ก็มาถึง ซึ่ง Mark Zuckerberg ต้องการอัลกอริทึม (Algorithm) ของ Eduardo Saverin ในการประมวลผลเว็บไซต์ที่เค้าทำขึ้นมาใหม่ด้วย ผลคือเว็บไซต์ดังกระฉูดฉุดไม่อยู่ จนอินเตอร์เน็ตของมหาลัยล่ม Mark Zuckerberg ก็เลยดังในช่วงข้ามคืน (ดังเฉพาะในมหาลัยนะ) จนไปถูกใจพี่น้องคู่แฝด Cameron และ Tyler Winklevoss กับหุ้นส่วนอีกคนชื่อ Divya Narendra (คนนี้เล่นดีนะ กวนส้นดี ถ้าเล่นดีก็อาจจะเล่นเหมือนตัวจริง ไม่รู้ตัวจริงนิสัยอย่างนี้รึเปล่านะ) จากนั้นทั้ง 3 ก็เล่าแนวคิดของตัวเองให้ Mark Zuckerberg ฟัง และชวนให้มาร่วมงานด้วย Mark Zuckerberg ก็ตอบตกลง แต่ในใจไม่ได้ตกลงตามนั้น เค้านำแนวความคิดนั้นมาปรับเปลี่ยน และเพิ่มอะไรหลายๆ อย่างลงไป ซึ่งส่วนมากไอเดียก็มาจากคนรอบข้างเค้าทั้งนั้น แล้ว Mark Zuckerberg ก็ได้ชักชวนให้ Eduardo Saverin มาร่วมลงทุนด้วย โดยตกลงแบ่งกำไรกันที่ Mark Zuckerberg ขอ 70% และที่เหลือ 30% เป็นของ Eduardo Saverin ไม่นานนักเว็บไซต์ the facebook ก็เปิดให้บริการ ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาทั้งหมด Cameron และ Tyler Winklevoss กับ Divya Narendra ก็เลยฟ้อง Mark Zuckerberg แล้วเพื่อนที่ Mark Zuckerberg เอ่ยปากเองว่าสนิทที่สุดอย่าง Eduardo Saverin ก็ยังมาฟ้อง Mark Zuckerberg ด้วยอีกคน เพราะโดนตัดหางปล่อยวัด สัดส่วนหุ้นในบริษัทก็ลดลง ทั้งหมดทั้งปวงก็เพราะตัวละครอีกตัว Sean Parker (ไม่แน่ใจว่าเป็นญาติกับไอ้แมงมุม Peter Parker รึเปล่านะ) เป็นคนที่เห็นแก่ตัว และชอบฉวยโอกาสเป็นที่สุด เค้าคงเห็นโอกาสที่เพื่อนสนิทของ Mark Zuckerberg อย่าง Eduardo Saverin ไม่อยู่เข้ามาเสียบแทน และพยายามทำให้ Eduardo Saverin หมดความสำคัญ ซึ่งตัวของ Sean Parker ก็มีประวัติไม่ดีเท่าไหร่ ทั้งเรื่องธุรกิจ เรื่องส่วนตัว อย่างการมี Sex กับเด็กนักศึกษามหาลัย และยาเสพติด แต่สุดท้ายเค้าก็ยังได้ส่วนแบ่ง 7% (ตอนแรกได้ 6.47%) ซึ่งมากกว่าที่ Eduardo Saverin ได้รับในตอนหลัง (ตอนแรกได้ 34.4% ตอนหลังเหลือ 0.03%) และตอนจบ Mark Zuckerberg ก็ยังคงคิดถึง Erica Albright อยู่ เค้าค้นหาชื่อ Erica Albright ใน facebook และส่งคำขอเป็นเพื่อนไป จากนั้นก็นั่งกด F5 รีเฟรชอยู่อย่างนั้นจนจบ
สรุปเป็นตัวละครไปนะ
Erica Albright พูดง่ายๆ ก็แฟนของ Mark Zuckerberg ละนะ แต่คิดว่าคงจะเข้ากันไม่ได้จริงๆ เพราะ Mark Zuckerberg คิดอะไรแปลกๆ ผู้หญิงคงจะเข้าใจ Mark Zuckerberg ได้ยาก เลยบอกเลิก และโดน Mark Zuckerberg โพสต์ด่าว่าเสียๆ หายๆ ใน Blog จนเธอโดนเพื่อนล้อเลียนเรื่องหน้าอก ก็เป็นตัวละครที่น่าสงสารนะครับ
Eduardo Saverin เพื่อนสนิทของ Mark Zuckerberg และเป็นคนที่ออกเงินลงทุนให้ Mark Zuckerberg ในการเปิดเว็บ the facebook ช่วงแรกๆ ด้วย ถ้าไม่มีเค้า ก็อาจจะพูดได้เลยว่าอาจจะไม่มี facebook เป็นตัวละครที่น่าสงสารเหมือนกัน
Cameron Winklevoss ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นแฝดคนน้อง และเป็นคนที่ดูแล้วก็เป็นคนดีนะ ไม่ใจร้อน ดูเป็นคนมีเหตุผลดีด้วย ทั้งๆ ที่โดน Mark Zuckerberg ขโมยแนวคิดไปปรับปรุงเป็น the facebook ก็ยังคิดว่า Mark Zuckerberg ไม่ได้ตั้งใจ ต่างกับแฝดอีกคนที่ใจร้อนมากมาย
Tyler Winklevoss แฝดผู้พี่ ดูเป็นคนใจร้อน ขี้โมโห ในเรื่องมีตอนที่ไปพบผู้ใหญ่ แต่ว่าก็เกือบจะหลุดปากด่าเค้าไป โชคยังดีที่ Cameron ห้ามไว้ทัน และตอนที่ออกจากห้องยังไปหักลูกบิดประตูเค้าอีก
Divya Narendra คนนี้ก็เป็นเพื่อนกับแฝด Winklevoss แต่ดูแล้วนิสัยไม่ค่อยดี ไม่ชอบ ไม่ขอเขียนอะไรมากแล้วกัน
Sean Parker ผู้ก่อตั้งเว็บ napster แต่สุดท้ายก็โดนฟ้องเละ ถังแตก และเห็นโอกาสที่จะมาเสียบใน facebook ก็เลยเข้ามาจัดการโน่นนี่นั่น เหมือนตัวเองเป็นเจ้าของ หรือหุ้นส่วนใหญ่เลย ในเรื่องงานการใน facebook เค้าไม่ได้ทำอะไรเลย อาจจะเพราะไม่เก่งคอมฯ มั้งนะ แต่จะมีบทบาทมากในการติดต่อประสานงาน และเป็นคนคิดให้ตัดคำว่า the ออก จาก the facebook จึงกลายเป็น facebook เฉยๆ จนตอนนี้ ผมก็ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เพราะหลักๆ ก็คือตัวร้ายดีๆ นี่เอง แต่บทบาทเยอะหน่อยก็เลยเขียนเยอะกว่า Divya Narendra นิดหน่อยนะครับ
Mark Zuckerberg เก็บไว้ท้ายสุดเลย ดูเป็นเด็กเรียน และเรียนเก่งด้วยมีอยู่ฉากหนึ่งในห้องเรียน ที่มีเพื่อนส่งเศษกระดาษมาด่า เค้าก็เลยลุกออกจากห้องไป แต่อาจารย์ก็หาว่าเค้าเรียนไม่รู้เรื่อง Mark Zuckerberg ก็เลยตอบปัญหาที่อาจารย์ถามส่งท้ายก่อนออกจากห้อง ซึ่งก็ถูกซะด้วย เป็นคนที่มีเพื่อนน้อย สังเกตว่าในเรื่องเวลา Mark Zuckerberg เดินไปไหนมาไหนมักจะไปคนเดียว ไม่ก็จะมี Eduardo Saverin ไปด้วยเท่านั้น ก็คงแสดงให้เห็นได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทคนเดียว นอกนั้นก็เหมือนเพื่อนทั่วๆ ไป แม้แต่ตอนที่ Mark Zuckerberg โดนบอกเลิก Eduardo Saverin ก็ยังห่วง และมาถามข่าวคราว ผมว่าเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่งเลยนะ แต่ Mark Zuckerberg เองดันไม่ได้ใส่ใจ แม้ตอนหลังที่ Eduardo Saverin โดนลดหุ้นจาก 34.4% เป็น 0.03% เค้าก็ไม่ได้คิดจะทำอะไรเลย ทั้งที่เค้าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 51% เอาไว้มีสิทธิ์ตัดสินใจได้อยู่แล้ว แต่ดันไม่ทำ ปล่อยให้เพื่อนโดนลดหุ้น แต่คนอื่นๆ มีหุ้นเท่าเดิมหมด มันเลยน่าคิดว่าจริงๆ แล้วเค้าเห็น Eduardo Saverin เป็นเพื่อนสนิทจริงๆ หรือเปล่า แม้ตอนจบจะเรียกความน่าสงสารจากหลายๆ คนได้ แต่สำหรับผม ผมเฉยๆ นะ อาจจะเข้าไม่ถึงมั้ง แต่ไม่มีเลยความสงสาร เพราะสิ่งที่ Mark Zuckerberg ทำไว้กับ Erica Albright มันก็แรงอยู่นะ ถ้าเป็นคุณผู้อ่าน คุณจะสงสาร Mark Zuckerberg มั๊ย
ภาพยนต์ที่อาจจะเป็นทอล์คออฟเดอะเฟสบุ๊ค คนที่เล่นเฟสบุ๊คต้องพูดถึงกันทั้งนั้น และมีบางส่วนลงทุนไปดูในโรง อาจจะเพื่อต้องการเข้าถึงเฟสบุ๊คให้มากกว่าเดิม แต่หลายคนที่ไปดูมาแล้วอาจจะผิดหวัง ผมก็คนหนึ่งครับ แต่โชคดีไม่ได้เสียเงินไปดูในโรงหนัง
ตัวหนังจะออกแนวดราม่าซะมาก และมีการพูดที่รวดเร็ว (ส่วนมากก็เป็นการถกเถียงกัน) ใครภาษาอังกฤษไม่แข็ง จะอ่านซับเอาคงตามเรื่องไม่ทัน (แต่ก็โชคดีของผมอีก ที่ผมได้ดูเป็นเสียงไทย) ดูแรกๆ อาจจะงง เพราะหนังเล่นตัดบทอดีตกับปัจจุบันสลับไปมาตลอด เล่นซะผมคิดถึงหนังไทย "เพื่อนสนิทขึ้นมาจับใจ"
อาจจะเพราะหนังไม่ค่อยสนุกด้วยรึเปล่า (ในความรู้สึกของผม) เลยทำให้ไม่น่าติดตามสักเท่าไหร่ ดูได้สัก 10-20 นาที ผมก็ลุกไปทำอย่างอื่นบ้างไรบ้าง แล้วก็กลับมาดูใหม่ต่อจากเดิม ผมจำได้ว่าเริ่มดูตั้งแต่ต้นเรื่องก็ประมาณเช้าเมื่อวาน (18 ก.พ.) จนมาดูจบไปสักพักนี้เอง (19 ก.พ. 4.00น.) ดูๆ หยุดๆ ไม่ชวนติดตาม หนังบางเรื่องดูแล้วหยุดไม่ได้ เห้ย...มันจะเป็นยังไงต่อ หยุดดูไม่ได้ทั้งๆ ที่มี DVD จะวนดูกี่รอบก็ได้ หยุดไว้มาดูใหม่ก็ได้ แต่มันคาใจ ข้างในลึกๆ ต้องดูต่อให้เคลียร์ แต่กับ the social network ไม่เกิดความรู้สึกนั้นขึ้นเลย แต่ว่าตัวหนังก็ทำออกมาดีครับ ถึงจะไม่น่าติดตาม แต่ก็ได้อารมณ์กึ่งสารคดี อืม...ผมก็อธิบายไม่ถูก ประมาณว่าใครที่ชอบดูซี่รี่ย์ LAW & ORDER น่าจะชอบเรื่องนี้ เพราะจะมีฉากทนายคุยกันบ่อยมากๆ ผมดูแล้วก็คิดถึง LAW & ORDER เหมือนกัน
DVD จากข้อมูลที่หามาได้จากอินเตอร์เน็ต จะเข้าไทยช่วงสิ้นเดือน ก.พ. เป็นแบบ 2 แผ่น แน่นอนครับ แผ่นแรกก็เป็นตัวหนัง แผ่น 2 ก็พวกคอมเม้นต์ของผู้กำกับ และนักแสดง ภาพ และข้อมูลเพิ่มเติมอื่นๆ ราคาที่รู้มาก็ 479 บาท น่าจะจัดจำหน่ายโดย MVD ก็รอดูกันครับ สิ้นเดือนรู้แน่นอน...
อ้อ...ส่วนที่ประทับใจในเรื่องนี้ ก็คงเป็นการถ่ายภาพแบบ miniature effect โดยเฉพาะช่วงตอนแข่งพายเรือจะเห็นได้ชัดเจน นอกนั้นก็มีประปรายตามฉากต่างๆ แต่ไม่มาก
รายชื่อนักแสดงบางส่วน
Rooney Mara รับบทเป็น Erica Albright
Andrew Garfield รับบทเป็น Eduardo Saverin
Armie Hammer รับบทเป็น Cameron Winklevoss และ Tyler Winklevoss
Max Minghella รับบทเป็น Divya Narendra
Justin Timberlake รับบทเป็น Sean Parker
Jesse Eisenberg รับบทเป็น Mark Zuckerberg
รายชื่อนักแสดงบางส่วน
Rooney Mara รับบทเป็น Erica Albright
Andrew Garfield รับบทเป็น Eduardo Saverin
Armie Hammer รับบทเป็น Cameron Winklevoss และ Tyler Winklevoss
Max Minghella รับบทเป็น Divya Narendra
Justin Timberlake รับบทเป็น Sean Parker
Jesse Eisenberg รับบทเป็น Mark Zuckerberg